โป๊กเกอร์ออนไลน์ คืออะไร

โป๊กเกอร์ออนไลน์ คืออะไร ได้เงินจริงไหม

โป๊กเกอร์ออนไลน์ คืออะไร

โป๊กเกอร์ออนไลน์ คืออะไร โป๊กเกอร์ ก็คือ เกมไพ่อีกหนึ่งรูปแบบ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่ในปัจจุบันนี้ หลายๆคนยกให้เกมๆนี้ เป็นเกมไพ่อันดับหนึ่งของโลก กันเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นเกมไพ่ ที่ไม่เพียงจะต้องอาศัยดวงในการเล่นแล้ว แต่ยังจะต้องใช้การวางแผนหรือการคิด วิเคราะห์ด้วยนั่นเอง จะพูดกันง่ายๆ ก็คือ เกมใช่สมองนั่นเอง โดยเกมๆนี้วิธีการชนะนั้น แค่ทำให้ไพ่ที่เราถืออยู่ ใหญ่ที่สุดในโต๊ะนั่นเอง จากในมือเรา 2 ใบ และจากบนโต๊ะ 5 ใบ รวมทั้งหมดก็ 7 ใบ เท่านี้ ทุกๆท่านก็ได้เงินรางวัลไป แบบผู้ชนะในทันที 

เกมไพ่ออนไลน์แบบนี้ เป็นเกมที่จะมีดีลเลอร์ คอยแจกไพ่ให้กับผู้เล่นทุกคน เหมือนกับเกมคาสิโนสดทั่วไป ซึ่งบอกได้เลยว่า เกมไพ่นี้ ผู้ที่จะได้กำไร ก็คือ ผู้เล่นเกมนั่นเอง เพราะ ดีลเลอร์นั้น มีหน้าที่เพียงแค่ แจกไพ่ เปิดไพ่ และรวบรวมเงินกองกลางนั่นเอง ซึ่งเงินที่ได้ จากการเดิมพันของเกมนี้คือ เงินกองกลาง หรือคำศัพท์ที่ใช้เรียกว่า Pot เราไปดูกันเลยว่า เกมไพ่โป๊กเกอร์ เล่นยังไง

การเล่น โป๊กเกอร์ออนไลน์ คืออะไร กติกา และ ลำดับไพ่

การเล่น โป๊กเกอร์ กติกา และ ลำดับไพ่

สำหรับการเล่นเกมไพ่ โป๊กเกอร์ ออนไลน์ บอกได้เลยว่า เป็นเกมไพ่หนึ่ง ที่สามารถทำเงินได้จริง แต่การเล่นเกมจะต้องใช้เวลา พอสมควร โดยจะพอๆกับ เกมไพ่แคง ที่ต้องใช้เวลา และความคิดในการเล่นด้วย นั่นเอง สำหรับคนที่ จะลองเริ่มเล่นเกมไพ่ โป๊กเกอร์ สิ่งแรกที่ควรรู้เลย คือ ลำดับความใหญ้ของไพ่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ทุกๆท่าน ง่ายต่อการเล่น

ลำดับโดยเรียกจากไพ่ ใหญ่-เล็ก

1. Royal Straight Flush เป็นรูปแบบของไพ่ ที่ใหญ่ที่สุดในเกมไพ่นี้ โดยจะต้องมีไพ่ ที่ประกอบด้วย A K Q J และ 10 และต้องมีดอกของไพ่ ที่ต้องเหมือนกันอีกด้วย ถึงจะเป็นไพ่ที่ใหญ่ที่สุด แต่ในกรณีที่ได้ไพ่แบบเดียวกัน หรือเหมือนกัน 2 คน ให้ทำการวัดจากความใหญ่ของดอก โดยเริ่มจาก โพธิ์ดำ หัวใจ ข้าวหลามตัด และดอกจิก ตามลำดับนั่นเอง 

2. Straight Flush เป็นรูปแบบของไพ่ ที่ใหญ่รองลงมาจาก รอยัลเสตรทฟรัช จะประกอบไปด้วย ไพ่ 5 ใบ ที่เรียงกัน และต้องเป็นดอกของไพ่ ที่เหมือนกันทั้งหมด เช่น 6 7 8 9 และ 10 ทั้งหมด เป็นดอกเดียวกัน เป็นต้น 

3. Four of a kind เป็นรูปแบบไพ่ของไพ่ ที่จะประกอบไปด้วยไพ่ 4 ใบ ที่มีเลขเดียวกันหรือเท่ากัน ซึ่งปกติแล้ว ไพ่ แต่ละเลขก็มีจะดอก ทั้ง 4 เพียงแค่ท่านได้ทั้ง 4 ดอกเลขเดียวกัน นั่นเอง

4. Full house เป็นรูปแบบของไพ่ ที่จะประกอบไปด้วยไพ่ตอง และ ไพ่คู่ เช่น บนโต๊ะ มีไพ่ที่เปิดเป็น 4 4 8 K 9 และ บนมือของเราถือ 4 K ซึ่งเมื่อเปิดไพ่ ก็จะชนะในกรณีไพ่รูปแบบ ฟูลเฮ้า นี้ไปเลย ก็คือ ตอง 4 และ คู่ K นั่นเอง ถ้าหากในกรณี ที่ได้ไพ่รูปแบบเดียวกัน ก็ให้ดูไพ่ตองก่อนแล้วค่อยไปดูไพ่คู่

5. Flush เป็นรูปแบบของไพ่ ที่จะประกอบไปด้วย ไพ่ทั้ง 5 ใบ ที่มีดอกเหมือนกัน อย่างเช่น 2 5 6 8 J ทั้ง 5 ไพ่ ดอกโพธิ์แดงทั้งหมด นั่นเอง โดยในกรณีที่มีผู้เล่นได้ Flush 2 คน ก็ให้ดูจากไพ่ในมือ ที่ใหญ่ที่สุด นั่นเอง

6. Straight เป็นรูปแบบของไพ่ ที่จะต้องเรียไพ่ให้ได้ 5 ใบ แต่ไม่จำเป็นจะต้อง เป็นดอกเดียวกันทั้งหมด จะเป็นดอกใดก็ได้ ซึ่งจะต่างจาก เสตรทฟรัช ที่เรียงแล้วต้องมีดอกเหมือนกัน นั่นเอง โดยยกตัวอย่าง เช่น 1 2 3 4 5 และ 7 8 9 10 J นั่นเอง ซึ่ง 1 หรือ ACE จะสามารถเป็นได้ทั้ง ไพ่ที่สูงที่สุด หรือ ต่ำที่สุด ก็ได้เช่นกัน

7. Three of kind  หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า ไพ่ตอง นั่นเอง ก็คือไพ่ที่มีเลขเดียวกัน 3 ใบ เช่น 9 9 9 หรือ K K K เป็นต้น โดยในกรณี ที่มีไพ่ตองเหมือนกัน 2 คน ก็ให้วัดแต้มจาก 2 ตัวหลัง เช่น 999AK และ 999A10 ซึ่ง 999AK จะชนะเดิมพันไปในตานี้ เพราะว่า K นั้น มีแต้มมากกว่า 10 นั่นเอง  

8. Two Pairs  ก็คือ รูปแบบของไพ่ ที่จะต้องมีไพ่ที่เป็นคู่ ถึง 2 คู่ด้วยกัน ซึ่งโอกาสในการได้ไพ่รูปแบบ ก็นี้ค่อนข้างง่าย แต่ข้อจำกัดในการชนะนั้นจะยากหน่อย ถ้าหากมีคนได้ไพ่คู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น

กรณีที่ เมื่อมีไพ่  KKQQ9 และ KKQQ7 ซึ่ง KKQQ9 จะเป็นผู้ชนะ ในเกมนั้น เนื่องจาก 9 มีแต้มเยอะกว่า 7 นั่นเอง 

9. One pair  หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า ไพ่คู่ นั่นเอง ก็จะต่างกับข้อล่าสุด คือ จะมีแค่คู่เดียวเท่านั้น เช่น KK965 แต่ในกรณีที่มีคนได้ ไพ่คู่เหมือนกันให้ดูจากไพ่ใบที่ใหญ่รองลงมาจากไพ่คู่ เช่น KK965 กับ KK865 ซึ่ง KK965 จะเป็นฝ่ายชนะ เนื่องจาก 9 นั่นใหญ่กว่า 8 นั่นเอง 

10. High Card คือ ไพ่แต้มสูง โดยจะดูจากไพ่ที่มีแต้มที่สูง ที่สุดในมือ ซึ่งรูปแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อ ไม่มีรูปแบบไพ่ ทั้งหมดที่กล่าวมาก่อนหน้า ต้องเอาแต้มในมือมาชนกัน ซึ่งให้ดูไพ่ที่ใหญ่ที่สุดจากในมือ แต่ถ้าหาก มีไพ่ที่เหมือนกัน หรือแต้มเท่ากัน ก็ให้แบ่งเงินกองกลางกันไปเลย ถือว่า Win Win ทั้งคู่เลยทีเดียว 

กติกาการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เบื้องต้น แต่เจาะลึกแน่นอน 

สำหรับ กติกา โป๊กเกอร์ ก็ไม่ได้มีมากมายนัก แค่ไม่กี่อย่าง แต่ทุกอย่างจะเป็นขั้นไปตอนไปเรื่อยๆตามลำดับ โดยจะอาศัยการสู้ต่อ หรือจะถอยของผู้เล่นเป็นหลัก นั่นเอง เราไปดูกันเลยครับว่า ทำไมโป๊กเกอร์จึงเป็นเกมไพ่ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก ก่อนอื่นเราจะยกตัวอย่าง ว่ามีผู้เล่น มากกว่า 3 คนละกัน เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบายนะครับ  

1. ในทุกๆ การเริ่มแจกไพ่ใหม่ในแต่ละตา จะมีคนที่ได้เป็น Big Blind (BB) และ Small Blind (SB) โดยจะจ่ายเงิน ให้กับดีลเลอร์ก่อน โดย BB จะต้องจ่ายไปในราคาที่ทางดีเลอร์กำหนด ยกตัวอย่างเช่น 2 บาท แต่ SB จะจ่ายแค่ 1 บาท หลังจากนั้นก็จะทำการแจกไพ่ให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ 

2. ในรอบต่อไป ก่อนจะเปิดไพ่ จะเรียกว่ารอบ Pre-Flop ก็คือรอบก่อน ที่จะเปิดไพ่ 3 ใบบนโต๊ะ ที่ดีลเลอร์จั่วมาวางไว้ โดยผู้เล่นที่จะถูกดีลเลอร์ถามว่าจะเดิมพันยังไง ในรอบนี้เป็นคนแรก ก็คือ คนทางซ้ายของ BB โดยจะมี 3 ทางเลือก คือ หมอบไพ่(Flop) เล่นต่อ(Check) หรือ เกเงินเพิ่ม(Raise) นั่นเอง และคนที่จะเล่นต่อๆไป ก็จะเลื่อนไปตามเข็มของนาฬิกา 

3. ถ้าหากผู้เล่นคนใดที่ เลือกหมอบไพ่ ก็จะถือว่าสละสิทธิ์ ในการเล่นเกมครั้งนั้นไปเลย ต่อมา ก็จะเข้าในรอบ Flop ซึ่ง ถ้าหาก รอบก่อนหน้ามีคนเกไพ่เพิ่ม คนอื่นๆ ที่เล่นต่อก็ต้องจ่ายเงินเดิมพัน เพิ่มเติมไปให้เท่ากับ คนที่เกเงินเดิมพันในราคาที่เท่ากัน นั่นเอง ถ้าหากจะต้องการเล่นต่อ และเมื่อจ่ายเงินเดิมพันครบ ดีลเลอร์ก็จะทำการเปิดไพ่ 3 ใบนั่นเอง

4. เมื่อดีลเลอร์เปิดไพ่ครบ 3 ใบ แรก บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เป็น SB นั้น จะต้องเป็นคนแรกที่ตัดสินใจ แต่ถ้าหาก SB ในรอบนี้ ได้หมอบไพ่ไปแล้ว ก็ให้คนทางซ้ายของเขา ตัดสินใจในรอบนี้แทนได้เลย แต่ในรอบนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่การ Check ไพ่คนอื่นๆเท่านั้น ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ซึ่งถ้าหากมีใครซักคนที่เกเงินเดิมพันละก็ ทั้งหมด ก็ต้องเริ่มเล่นต่อได้เลย โดยการจ่ายเงินเดิมพันเท่ากัน

5. และเมื่อเลือกผ่านรอบที่แล้วมาได้ ทั้งหมด หรือมีผู้เล่นเกเงินเดิมพัน ก็จะเข้าสู่รอบต่อไป โดยผู้เล่นก็จะต้องเลือกว่า จะหมอบไพ่ จะสู้ต่อ หรือ จะเกเงินเพิ่มไปอีก โดยการจะไปต่อนั้น จำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินเดิมพัน ไปใส่กองกลางตลอดตาม ราคา เบท ล่าสุด นั่นเอง แต่ถ้ามีคน Raise หรือเกเพิ่ม ก็จะขึ้นกับเงินที่เกเพิ่มเดิม โดยทันที นั่นเอง

6. ต่อมาเมื่อเลือกเสร็จ ก็จะเข้าสู่รอบใหม่ โดยดีลเลอร์นั้น จะเปิดไพ่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งใบ ตอนนี้ก็จะเป็นไพ่ ใบที่ 4 ซึ่งจะเรียกว่า รอบ Turn ในรอบนี้คนที่ตัดสินใจคนแรก ก็จะเป็นคนเดิม ในรอบก่อนๆได้เลย และ เมื่อผู้เล่นทั้งหมดที่เหลืออยู่ ได้ตัดสินใจแล้ว ก็จะเข้าสู่รอบต่อไป

7. รอบต่อไปก็จะมาต่อกัน ในไพ่ใบที่ 5 ที่เปิดเพิ่ม โดยจะเรียกว่า River นั่นเอง ซึ่งจะเป็นรอบสุดท้ายของการเดิมพัน และดีลเลอร์ก็จะทำการเปิดไพ่ใบสุดท้ายบนโต๊ะ และให้ทุกคนเดิมพัน ใครที่ไม่สู้ก็หมอบไป หลังจากนั้น ก็จะทำการเปิดไพ่ ของทุกคนที่ยังอยู่ ใครที่มีไพ่ใหญ่ที่สุดในโต๊ะ จากการเอาไพ่บนมือ 2 ใบ กับ ไพ่บนโต๊ะอีก 5 ใบ มาเทียบกันทั้งหมด ไพ่ของใครรูปแบบใหญ่ที่สุด จะเป็นฝ่ายชนะ

8. เมื่อหาผู้ชนะได้แล้ว เงินทั้งหมดในกองกลาง หรือ Pot ก็จะเป็นของผู้ที่ชนะเพียงคนเดียว แต่ในกรณี ที่มีคนได้แต้มเท่ากัน ก็จะต้องทำการแบ่งเงิน จากกองกลางอย่างเท่ากัน และในกรณีที่ มีคนหมอบ จนเหลือเพียงคนเดียว ก็จะไม่ต้องเปิดไพ่คนสุดท้าย และคนๆนั้น ก็จะได้เงินกองกลางไปเลยนั่นเอง 

สรุป : สำหรับเกมไพ่โป๊กเกอร์ออนไลน์นี้ เป็นเกมไพ่ที่ต้องอาศัยการคิดและวิเคราะห์ไพ่ รวมทั้งการวางแผนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเกเงินเพิ่ม ซึ่งในภาษาโป๊กเกอร์ ก็คือการ Bluff (บลัฟ) ซึ่งเป็นเหมือนกับการขู่ผู้เล่ยคนอื่นๆ ว่าตัวเองมีไพ่สูง โดยใช้เงินที่เกเข้าไปในแต่ละรอบ ซึ่งเป็นเหมือนการทำจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คนอื่นๆ คิดว่าเรามีไพ่ที่ดีและก็หมอบหนีไปเอง 

ติดต่อข่าวสารเพิ่มเติม : https://casinotiktok.com/

ทิ้งคำตอบไว้